เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ พ.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันแรงงาน เห็นไหม กรรมกรสร้างชาติ วันแรงงาน แรงงานของร่างกายคือกรรมกรอาบเหงื่อต่างน้ำแบกหามขึ้นมา สิ่งต่างๆ มนุษย์สร้างขึ้นมาทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นชาวนาล่ะ ถ้าชาวนา เห็นไหม เราทำงานของเราด้วยหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินของเราก็ทำเพื่อเกษตรกรรม เพื่ออาหาร ปัจจัยเครื่องอาศัยทั้งนั้นแหละ

ปัจจัยเครื่องอาศัย เห็นไหม ดูสิ สมัยโบราณเขาอพยพย้ายถิ่นเพื่อหาที่อุดมสมบูรณ์ เพื่อทำมาหากิน ทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพไง เลี้ยงชีพในปัจจุบันนี้มันมีการตลาด มีธุรกิจขึ้นมา มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนขึ้นมา ชาวนาก็ส่วนชาวนา เราไม่เห็นความลำบากของชาวนา เราเห็นแต่ข้าวในถุงที่เราจะซื้อหามา เราถือว่าเรามีความสามารถจะซื้อหาสิ่งนั้นได้

สิ่งที่เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเกิดมาจากน้ำมือของกรรมกร เห็นไหม นายทุนกับกรรมกร ถ้ามีการเอารัดเอาเปรียบกัน ในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนชั่ว มีคนดีและคนที่เห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวก็เอารัดเอาเปรียบไปทั้งนั้นแหละ การเอารัดเอาเปรียบอย่างนั้นเป็นการเอารัดเอาเปรียบทางโลก ชาวนาก็เหมือนกัน ชาวนา เจ้าที่ดิน ถ้าเจ้าดินมีปัญหากัน มีปัญหากันมาตลอด นี่วันแรงงาน ถ้าวันแรงงาน วันแรงงานทางโลก คนเราเกิดมาต้องมีหน้าที่การงาน ถ้ามีหน้าที่การงาน เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องธรรมะๆ ธรรมะมันเรื่องเวรเรื่องกรรม

ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกันมา เห็นไหม ดูสิ เราเป็นกรรมกร เราไปเจอเจ้านายที่ดี เจอเจ้านายที่มีคุณธรรม มันก็เป็นเวรกรรมของเราไง แต่เวรกรรมของเรา เราเจอสิ่งที่ดี สังคมที่ดี สังคมที่ดีเราก็มีความมั่นคงในชีวิต สังคมมีความร่มเย็นเป็นสุข แต่ถ้าเราเจอสังคมแบบใดก็แล้วแต่ เราทำคุณงามความดีของเรา ถ้าทำคุณงามความดีของเรานะ มันมีเวรมีกรรมต่อกัน ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกัน เราเกิดมา เห็นไหม เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงศีลธรรม คุณงามความดีไง ถ้าคุณงามความดีเราทำ แล้วเราทำกับเขาทำไมในเมื่อเขาเอารัดเอาเปรียบเรา เขาเห็นแก่ตัว เราทำไปทำไม

เราก็ทำเพื่อความดีของเราไง เราทำเพื่อความดีของเรา นั่นมันเป็นเวรกรรมของเขา เขาทำสิ่งใดขึ้นมาก็เป็นเวรกรรมของเขา เราทำคุณงามความดีของเราก็เป็นของเรา ถ้าเป็นคุณงามความดีของเราเพื่ออะไรล่ะ? เพื่อไม่ให้มันทุกข์ยากไปมากกว่านี้ไง ถ้าทุกข์ยากไปมากกว่านี้ ในปัจจุบันนี้ที่มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเสวยกรรมอยู่นี้ มันเพราะเหตุใดล่ะ? เพราะมันมีการกระทำสิ่งนั้นมา ถ้าทำสิ่งนั้นมา ถ้าเราทำคุณงามความดีมามันก็เจอสิ่งที่ดีขึ้นมา เห็นไหม นี่เหมือนกัน เวลาเราเป็นชาวไร่ชาวนา ถ้าเกิดเราเจอเจ้าที่ดินที่ดี เขาก็เกิดประโยชน์ขึ้นมา

ฉะนั้น โลกไง โลกเป็นวิทยาศาสตร์ ในเมื่อปฏิวัติโดยกรรมกร ปฏิวัติโดยชาวนา ปฏิวัติก็คือปฏิวัติ ปฏิวัติขึ้นมาแล้วเป็นอย่างไรล่ะ พอปฏิวัติขึ้นมาแล้ว เวลากรรมกรเราทำด้วยอาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาเขาว่านี่วันแรงงาน แต่เวลาผู้บริหารเขาเรียก “แรงงานสมอง” แรงงานสมองเขาก็เอาเปรียบ เวลาเขาจะเอาเปรียบเขาก็เอาเปรียบอย่างนั้นล่ะ เขาเอาเปรียบของเขาโดยหาทฤษฎีมารองรับ เราก็เชื่อเขาไปๆ

แต่เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหาที่ไหนล่ะ

คนเราจะมีคุณงามความดีมันอยู่ที่หน้าที่การงาน การงานของเรามันบอกจริตบอกนิสัยของคน ถ้าบอกนิสัยของคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เห็นไหม คิดเท่าไรก็ไม่รู้ต้องหยุดคิด คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ความคิดมันหาแต่ความทุกข์ยากมาให้ ความคิดมันต้องหยุดคิด แล้วความหยุดคิดมันใช้อะไรหยุดคิด? มันต้องใช้ความคิดไง ถ้าเราไม่ใช้ความคิด เราหยุดคิดได้อย่างไร พุทโธ เราต้องวิตกวิจารขึ้นมา เวลาปัญญาอบรมสมาธิ เราก็ต้องใช้ปัญญาของเราขึ้นมา นี่ไง ถ้าเราจะใช้ปัญญาของเรา เห็นไหม เราต้องหยุดคิด คำว่า “หยุดคิด” เราก็ต้องใช้ความคิด ความคิดก็แรงงานสมองไง

เขาบอกว่า แรงงานทำงานโดยอาบเหงื่อต่างน้ำ นั่นแรงงานทางโลก ถ้าแรงงานสมองต้องได้ผลประโยชน์ตอบแทนมากกว่า แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ความรู้สึกนึกคิดของเรา เราน้อยเนื้อต่ำใจ เราทุกข์เรายาก

เราทุกข์เรายากมันก็แรงงานเข้ามาสมัครใหม่ แรงงานทำงานใหม่เขาต้องหาประสบการณ์ของเขา เขาผ่านงานของเขา เดี๋ยวเขาก็จะเป็นผู้บริหารของเขา เราเข้าไปแล้วเราจะเป็นผู้บริหารเลยมันก็เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม มันก็ต้องมีประสบการณ์ของเรา ต้องทำงานเป็น ทำงานเป็นแล้วเราบริหารจัดการเป็น อยู่ที่เชาวน์ปัญญาของเรา เราจะบริหารจัดการอย่างใด ถ้าบริหารจัดการอย่างใดมันก็พัฒนาของมันขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้าเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เห็นไหม เพราะอะไร เพราะเรามีสติมีปัญญา เราไม่โลภจนเกินกว่าเหตุ เรามีสติมีปัญญาของเรา นี่พูดถึงแรงงานทางโลก

ถ้าแรงงานทางธรรม พระเราบวชมาอาบเหงื่อต่างน้ำนะ ดูสิ เขาบอกว่าพระบวชมาแล้วมีแต่ความสุข พระบวชมาแล้วมีปัจจัยเครื่องอาศัยสมบูรณ์ ทุกอย่างสมบูรณ์ มันสมบูรณ์ขึ้นไปแล้ว แล้วจิตใจล่ะ จิตใจที่มันทุกข์มันยาก เราบวชมาทำไม เราบวชมา เห็นไหม ดูสิ บวชมาเพื่อเป็นบัณฑิต เวลาสึกไปแล้วเป็นทิด เป็นบัณฑิต บัณฑิตเพราะอะไร บัณฑิตเพราะมันศึกษาสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมคืออะไร ทำไมฆราวาสศึกษาไม่ได้หรือ ต้องมาเป็นพระถึงศึกษาได้หรือ

ฆราวาสเขาศึกษาของเขาได้ ศึกษาได้แล้วเขาซาบซึ้งไหมล่ะ แต่เวลาเป็นพระมันเป็นเนื้อเดียวกัน นี่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เช้าขึ้นมาออกบิณฑบาตเป็นวัตร ทางโลกบอกว่า “ทำไมต้องบิณฑบาต บิณฑบาตเป็นของเล็กน้อย เดี๋ยวพ่อแม่เอามาส่งก็ได้ พ่อแม่หาให้ ปัจจัยเครื่องอาศัยหาได้” นี่เวลามันผูกพัน มันผูกพันอย่างนั้นแหละ แต่มันไม่เป็นสัจจะ มันไม่เป็นความจริง มันไม่ได้หามาด้วยปลีแข้ง มันไม่ได้หามาด้วยน้ำมือของเรา

แรงงานเวลาไปทำงาน พ่อแม่ก็เป็นห่วงเป็นใย ลูกเราทำงานจะประสบความสำเร็จไหม มันวิตกกังวล แต่มันจะประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จมันก็อยู่ที่ลูกปฏิบัติงานหน้าที่นั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ

บวชเป็นพระก็เหมือนกัน พอบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง บิณฑบาตออกไป เมล็ดข้าวกว่าจะได้มาหุงหาใส่ขันของเขา เขาตักจากปากหม้อของเขาใส่ในขันของเขา ในขันของเขา เขามีศรัทธาความเชื่อเขาถึงตักในขันของเขามาใส่บาตรของเรา บาตรของเรา เราบิณฑบาตออกไป กว่าข้าวจะตกบาตรมา พอตกบาตรมา เราบิณฑบาตกลับมาแล้ว เราจัดบาตรแล้วเราต้อง ปฏิสงฺขา โยฯ พิจารณาก่อนฉัน ข้าวนี้มันได้มาอย่างใด เห็นไหม เราบิณฑบาตไป เราเห็นความทุกข์ความยากของเขา ชาวนาของเขา เขาหน้าสู้ฟ้าหลังสู้ดินของเขา เขาทำกสิกรรมของเขา กว่าเขาจะได้ข้าวของเขามาแต่ละเม็ด มีความทุกข์ความยากขนาดไหน แล้วพระเรา พระไปบิณฑบาตมา เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง นี่สัจธรรม เราไปรู้ไปเห็นขึ้นมา ถ้ามีปัญญา มันเก็บสิ่งนั้นขึ้นมา

แล้วเวลา ปฏิสงฺขา โยฯ ฉันแล้ว ฉันแล้วทำอย่างไร ภิกษุฉันแล้ว เช็ดล้างบาตรเสร็จแล้วเก็บเข้าที่ แล้วสู่โคนไม้ สู่เรือนว่าง นี่ไง งานของพระแล้ว ถ้างานของพระ งานของพระทำอย่างไรล่ะ? เอาใจของเราไว้สิ เช้าขึ้นมาเราเห็นไหม ดูสิ เขาทุกข์เขายากมา เขาอาบเหงื่อต่างน้ำมาเพื่อหาบุญกุศลของเขา เขาทำมาด้วยบุญกุศลของเขา เขาได้อามิส เขาทำทานของเขา เขาประสบความสำเร็จของเขา ได้ทำทานของเขาแล้ว เราบิณฑบาตมาเลี้ยงชีพ แล้วเราจะมีงานสิ่งใด

ดูสิ วันแรงงานๆ โลกเขาก็มีงานของเขา แล้วแรงงานของพระล่ะ พระทำอะไรล่ะ เห็นไหม พระศึกษาก็ปริยัติขึ้นมา ได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ได้มาแล้วก็ยังงงๆ ว่านักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอกเขาสอนให้ทำอะไร ทำแล้วจะทำได้หรือเปล่า

แต่เวลาพระเราปฏิบัติขึ้นมา สิ่งนั้นรู้แล้วมันก็เป็นกรอบกติกาใช่ไหม เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็เอาหัวใจนี้ไง

“คิดเท่าไรก็ไม่รู้ต้องหยุดคิด แต่การจะหยุดคิดก็ต้องใช้ความคิด”

แต่บอกไม่ต้องคิด ห้ามคิดกันไปเลย เห็นไหม

แรงงานใจ ถ้าแรงงานจิตมันสงบเข้ามาแล้ว ถ้าจิตเราสงบเข้ามา กว่าจะรั้งได้นะ ดูเด็กสิ เด็กปล่อยให้วิ่งเล่น มันอยู่สุขสบายของมัน เด็กให้นั่งเรียบๆ เด็กให้นั่งทำงาน เด็กทำไม่ได้ แต่เราก็ฝึกหัดเด็กด้วยอุบายวิธีการของเรานะ ให้ทำอย่างนี้พ่อแม่จะรัก พ่อแม่ชอบให้ลูกทำอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้แล้ว นี่ให้อุบายของเขาทำ ทำของเขาแล้วเขาก็ได้ประโยชน์ของเขา เพราะว่าเขาทำแล้วมันก็มีผลงานของเขาขึ้นมา เด็กมันก็ดีใจขึ้นมาใช่ไหม ทำอะไรก็ให้รางวัลเด็ก ให้เด็กนั้นใฝ่ใจ

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันทุกข์มันยาก คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ที่มันทุกข์ยากอยู่ขนาดนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะทำอย่างไร

เราก็มีพุทธานุสติ เกาะที่นี่ไว้ ถ้าเกาะที่นี่ไว้ เด็กมันก็ไม่อยากทำ ใจก็ไม่อยากทำหรอก ใจบอกว่าวันนี้วันแรงงาน อาชีพของเรา เราทำหน้าที่การงานของเรามันก็ทุกข์ งานของเรามันก็ทุกข์ยากขนาดนี้ แล้วเราจะทำสิ้นสุดเอาเมื่อไหร่ แล้วบั้นปลายของชีวิตเราจะมีความทุกข์ยากอย่างใด แล้วบั้นปลายของชีวิตเราอยากประกันชีวิตนี้ไหม ถ้าหลักประกันชีวิต เห็นไหม ทำงานมันก็วิตกวิจารณ์ คิดมันไปว่าอนาคตมันจะเป็นแบบใด เวลาจะนั่งสมาธิภาวนามันก็ไม่ยอมทำ มันก็บอก “ทำไปทำไม ทำอย่างไร”

นี่งานของพระ ถ้างานของพระนะ แรงงานทางใจ ถ้าใจมันทำงานของมันนะ มันพุทโธของมัน มันทำหน้าที่ของพระ ไม่ใช่ทำหน้าที่ของผู้บริหาร ทำหน้าที่แบบโลก โลกเขานะ แรงงานสมองเขาก็บริหารจัดการของเขาเพื่อประโยชน์ของเขา เขาทำแล้วเขาบริหารจัดการของเขาได้ เขาประสบความสำเร็จของเขา แล้วประสบความสำเร็จแล้วเป็นอะไร นั่นก็แรงงานทางโลกไง นี่แรงงานทางโลกไง

ถ้าเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราบวชมาเพื่อจะเป็นบัณฑิต เราจะศึกษาของเรานี่ไง ศึกษานักธรรมโท นักธรรมเอก ศึกษาแล้วก็ได้ใบประกาศมาว่าจบนักธรรมเอกแล้ว เรียนบาลีก็แปลบาลีได้ ตีความได้ในบาลี แล้วจิตใจมันได้อะไรขึ้นมา มันยังไม่ได้ทำไง

แต่ถ้าเราทำของเราขึ้นมา เห็นไหม คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด ถ้าหยุดคิดก็ต้องใช้พุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้มันหยุดคิด ถ้ามันหยุดคิดขึ้นมาแล้ว หยุดคิดก็มีความสุขแล้ว

เวลาฤๅษีชีไพรเขาทำสมาธิของเขา เขาทำสมาบัติของเขา นั่นจิตมันส่งออก แต่เรามีสติปัญญา อานาปานสติ พุทธานุสติ มีสติกำหนดไป เวลามันละเอียดเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามา ใครเป็นคนปล่อยวาง ถ้ามีสติปัญญามันจะเห็นคนปล่อยวางเข้ามา ถ้ามันปล่อยวางเข้ามา ใครเป็นคนปล่อยวาง คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด แล้วถ้าหยุดคิด หยุดคิดมีความสุขไหม ถ้าหยุดคิดแล้วทำอย่างไรต่อ

ถ้าพอมันหยุดคิดแล้ว ถ้าจิตมันเห็นอาการของจิต นี่ไง แรงงานใจๆ มันจะเห็น งานของพระมันจะเกิดแล้วล่ะ ถ้างานของพระมันจะเกิด เห็นไหม เราออกเช้าบิณฑบาตมา เห็นชาวไร่ชาวนาเขาหน้าสู้ฟ้าหลังสู้ดินขึ้นมา กว่าจะได้ข้าวแต่ละเม็ด กว่าจะสีออกมา จะหุงหามาใส่บาตรของเรา กว่าจะได้ข้าวขึ้นมามันก็กรรมวิธีของมันขึ้นมา จิตของเรากว่าจะสงบได้ เราต้องมีสติปัญญาของเรา เรารักษาจิตของเราสงบแล้วมันก็ได้ข้าวมา มันยังไม่ได้หุงได้หามันก็กินไม่ได้หรอก เก็บไว้มันก็เป็นมอดหมด ถ้าเก็บข้าวไว้มันก็จะเสียจะหายไป

สัมมาสมาธิก็ได้ความสุขมา คนที่ทุกข์ยากเขาไม่มีอาหารกิน เขาก็อยากมีความมั่นคงในชีวิตของเขา ถ้าชาวไร่ชาวนา ในยุ้งในฉางเขามีแต่ข้าวเต็มยุ้งเต็มฉาง เขาก็มีความอุ่นใจของเขา ถ้าคนที่ไม่มีปัญญา ยุ้งฉางนั้นไม่มาหุงมาหามันก็ไม่ได้กินของเขา เขามีความอุ่นใจของเขาว่าเขามีอาหารของเขา แต่เขายังไม่ได้หุงหากินของเขา จิตของเราถ้ามันสงบเข้ามา เห็นไหม ถ้าเราฝึกหัดใช้ปัญญาไม่ได้ เราวิปัสสนาไม่ได้ มันก็เสื่อมของมันไป

นี่มีข้าวอยู่เต็มยุ้งเต็มฉาง แต่ไม่รู้จักสี ไม่รู้จักหุงหาเอามาเป็นอาหาร จิตสงบแล้วมีความสุข ความสุขเพราะอะไร ความสุขเพราะมีข้าวอยู่เต็มยุ้งไง เราเป็นเศรษฐี เรามีข้าว แต่ขี้เหนียวไม่เคยใช้เลย ปล่อยให้มอดมันกินหมดเลย ไม่มีประโยชน์อะไรกับใครขึ้นมาเลย แต่ข้าวนั้นเราเอาไปปลูกมันก็เป็นพันธุ์ข้าวขึ้นมา ถ้าข้าวนั้นเอาไปสีมามันก็เป็นอาหารของเราขึ้นมา ถ้าข้าวนั้นสีแล้วเราหุงหาอาหารใส่บาตรพระไป เราก็ได้บุญกุศลของเรา ถ้าเราจะทำธุรกิจค้าขายไป เราก็ได้ประโยชน์ของเราขึ้นมา

จิตของเรา เราจะบริหารจัดการของเราขึ้นมา หยุดคิด คิดเท่าไรไม่รู้ ต้องหยุดคิด แต่การหยุดคิดก็ต้องใช้ความคิด แล้วความคิดที่ต่อเนื่องไปมันจะเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม

พระก็มีงาน โลกเขามีงานกันก็งานของโลก ถ้างานของพระ เห็นไหม เวลาเราทุกข์เรายากนะ เราทุกข์ยากมาก เวลาเราอยากจะสบาย ครูบาอาจารย์ท่านนั่งเฉยๆ หายใจเข้าให้นึกพุท หายใจออกให้นึกโธ เวลาอาบเหงื่อต่างน้ำมันก็ว่าทุกข์ ให้มานั่งเฉยๆ นะ ไม่ต้องทำอะไรเลยมันก็ว่ามันทำไม่ได้ เอาใจไว้ในอำนาจของเราทุกข์ยากที่สุด ถ้ามันยากขึ้นมานะ ถ้าใครปฏิบัติแล้วเห็นการกระทำแบบนี้จะไม่บอกว่า โอ๋ย! พระนี้สุขสบาย พระนี้สุขสบาย

ถ้าสุขสบายแล้วปฏิบัติ เห็นไหม พวกเราศึกษาธรรม เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม ว่าสุขสิ่งใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วสุขอื่นใดเท่ากับวิมุตติสุขไม่มี นิพพานมันเป็นสิ่งที่ปรารถนาของเรา ถ้ามันทำได้ทำไมไม่ทำล่ะ เราอาบเหงื่อต่างน้ำ เราหาข้าวของเงินทองมา มันเป็นปัจจัยแลกเปลี่ยนเพื่อคุณภาพชีวิต เพื่อสิ่งที่มันคงของชีวิต แล้วชีวิตนี้มันมีอะไรล่ะ? ชีวิตนี้มันมีการพลัดพรากเป็นที่สุด นี่เรารู้โดยวิทยาศาสตร์เลยว่าเราเกิดมาต้องตายแน่นอน ใครเกิดมาไม่ตายบ้าง ทุกคนต้องตายทั้งนั้นแหละ ตายแล้วไปไหน เกิด เราเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน

“หลวงพ่อ อย่าเขียนเสือให้วัวกลัว ตายแล้วก็จบ ไม่มีหรอก ไม่ต้องมาขู่”

ถ้าไม่ขู่ แล้วจิต ความรู้สึกเรานี่ ถ้าความรู้สึกเราถ้าลบมันได้มันก็จบ ถ้าเราลบความทุกข์ได้มันก็คือตายแล้วมันไม่มีไง ถ้าเราลบความทุกข์เราไม่ได้ เราลบความวิตกกังวลเราไม่ได้ มันเป็นอย่างไรล่ะ เอาอะไรมาลบล่ะ

แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา จิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม เพราะจิตมันสงบแล้ว เรามีข้าวสารแล้ว เรามีข้าวปลาอาหารแล้ว เราจะหุงหาของเราแล้ว เราจะเข้าครัวของเราแล้ว ถ้ามันเข้าครัวขึ้นมา มันประกอบเป็นอาหารขึ้นมา เราจะมีอาหารของเราขึ้นมา จิตมันได้สัมผัสขึ้นมา จิตมันสงบแล้ว คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ให้หยุดคิด พอหยุดคิดแล้วมันเห็นอาการของมัน เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันวิปัสสนาของมันขึ้นไป มันแยกแยะของมันไปๆ นี่ไง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกไง

จิตถ้ามันลบไม่ได้ ทุกข์มันลบไม่ได้ วิตกกังวลลบไม่ได้ ความสงสัยมันลบไม่ได้ แล้วเราจะมีอะไรเป็นหลักประกันในใจของเรา ถ้าเราไม่มีหลักอะไรประกันในใจของเรา เราว่าเรารู้จริงไหม เรารู้ว่าเรามีปัญญาจริงไหม ถ้าเราไม่รู้ว่าเรามีปัญญาจริงเราก็ตายไปด้วยความสงสัยไง ตายไปด้วยความทุกข์ยากไง

นี่ไง สอุปาทิเสสนิพพาน คนที่สิ้นกิเลสแล้ว สะคือเศษส่วน สะคือขันธ์ ๕ สะคือความรู้สึกนึกคิด ความคิดมันไม่ใช่จิตไง เพราะความคิดมันเกิดจากจิต ถ้าความคิดไม่ใช่จิต ถ้ามันไม่มีความวิตกกังวลกับความคิดแล้ว มันจะแบกหามความคิดไปไหม ถ้ามันยังลังเลสงสัย มันยังมีความกังวลอยู่นี่มันคืออะไร มันคืออะไรล่ะ

มันเป็นนามธรรม มันเกิดมาจากไหน แล้วถ้ามันวิปัสสนาไป มันแยกแยะไปแล้ว ความสงสัยมันตัดขาดหมดแล้ว มันไม่มีอะไรสงสัยเลย ไม่ต้องเอาอะไรมาหลอก เอาเวทนาหน้าไหนมาหลอก จะเอานรกชั้นไหน เอาสวรรค์ชั้นไหน เอาพรหมชั้นไหนมาหลอก เพราะอะไร เพราะมันสุคโต สุคโตเพราะอะไร สุคโตเพราะมันสำรอก มันคาย มันคายอะไร มันคายอวิชชา คายความลังเลสงสัย คายพญามาร มันคายของมันออกไป นี่ไง ถ้ามันคายที่นี่ ถ้ามันรู้ว่าผู้นี้เป็นผู้ไปนรก ผู้นี้เป็นผู้ไปสวรรค์ ผู้นี้เป็นผลของวัฏฏะ มันเวียนไปในวัฏฏะ แล้วใครจะหลอกใคร

มันจะหลอกแต่คนที่ไม่รู้นี่แหละ เพราะเราไม่รู้ เขาคิดว่าหลอก แต่คนที่เขาไม่รู้จริงเห็นจริง เขาจะสำรอก เขาจะคายได้อย่างไร เขาคายที่ต้นเหตุไง เหตุปัจจัยที่มันไปตกตรงนั้นน่ะ แม้แต่เหตุปัจจัยที่จะไปตกตรงนั้นยังรู้ แล้วที่ไปตกทำไมจะไม่รู้ อย่างเรานั่งกันอยู่นี่ เราเป็นเจ้าของบ้าน เราเป็นคนซื้อบ้าน แล้วบ้านเป็นของเรา เราต้องกลับบ้านใช่ไหม บ้านนั้นน่ะ นรก สวรรค์อยู่ที่นั่นล่ะ อยู่ที่บ้าน เพราะเราต้องไปที่บ้านของเรา เพราะบ้านเป็นของเรา แล้วเราไปทำไมล่ะ เราไปทำไม เราต้องไปเพราะบ้านของเรา ถ้าเราลบหมด ลิขสิทธิ์ สิทธิต่างๆ เราลบหมด ไม่มีเลย เราจะไปไหนล่ะ ก็นั่งอยู่ศาลานี่ ไม่ต้องไปไหนแล้ว แล้วไม่ไปไหนแล้วจะอยู่กินกันอย่างไร นี่ไง ภวาสวะ ภพไง ถ้าทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายภวาสวะ ทำลายผู้ที่ถือครองเขา ทำลายที่นี่จบแล้วมันจะอยู่ที่ไหนล่ะ มันจะอยู่ที่ไหน

แรงงานใจ แรงงานทางธรรม พระต้องอาบเหงื่อต่างน้ำแบบนี้ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่อเหตุผลอย่างนี้ ก็ต้องมีหน้าที่การงานเหมือนกัน หน้าที่การงานของโลกเราก็อาบเหงื่อต่างน้ำแบกหามมาเพื่อดำรงชีวิต หน้าที่ทางธรรมต้องชำระล้างสิ่งที่มันเป็นความสงสัย สิ่งที่เป็นตะกอนในใจ แล้วตะกอนในใจทำอย่างใด ทำอย่างไร

มันมีครูมีอาจารย์ชี้นำให้เราทำ ถ้าเราทำ เราทำได้ไง เราทำแล้วเราไปถามอาจารย์ ถ้าอาจารย์ตอบไม่ได้อาจารย์ก็ต้องโง่สิ อาจารย์ต้องไม่รู้สิ แต่ถ้าเราทำแล้วเราผิด อาจารย์ก็ต้องบอกว่าผิด ถูก อาจารย์ก็บอกว่าถูก ถ้าถูกกับผิด เห็นไหม วิชชา-อวิชชา มันจะก้าวเดินไป ระหว่างอวิชชาคือความผิด วิชชาคือความถูกต้อง แล้วทำไปๆ มันไปทำลายภพทำลายชาติอันนั้นไง แรงงานของพระ พระต้องอาบเหงื่อต่างน้ำทำที่นี่

ฉะนั้น หน้าที่การงานของเรา เราทำหน้าที่การงานของเราในทางโลก พระก็มีหน้าที่การงานของพระ พระจะไม่แย่งงานของโลกทำ โลกเขาก็บริหารจัดการของเขาไป นกยังมีรวงมีรัง พระก็ต้องมีที่อาศัย แต่ที่อาศัยแบบนี้ก็อยู่ในข้อวัตรปฏิบัติของเรา แต่ทำจริงๆ ก็ทำหัวใจของเรานี่แหละ ทำที่นี่เพื่อให้ศาสนามีมรรคมีผล ศาสนาไม่ว่างเปล่านะ

ศาสนาคิดแต่เป็นวัตถุ เห็นไหม มีแต่โบสถ์วิหาร นั่นเป็นตัวศาสนา นั่นศาสนวัตถุ ศาสนธรรมคำสั่งสอนนั่นเป็นพระไตรปิฎก แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมา คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต้องหยุดคิด หยุดคิดก็ต้องใช้ความคิด ความคิดวิปัสสนาไปถึงที่สุดแล้วมันมีคุณธรรมในใจขึ้นมา ศาสนานี้ไม่ว่างเปล่า ศาสนานี้มีเหตุมีผล มีมรรค มีความจริงในใจ

ความจริงในใจนี้จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง จากใจของหลวงปู่มั่น จากใจของครูบาอาจารย์ของเราส่งทอดมาเป็นต่อๆ เป็นชั้นๆ ขึ้นมา ด้วยความวิปัสสนาญาณ ด้วยการวิเคราะห์วิจัยความเป็นจริงขึ้นมาในใจนั้น ฉะนั้น ศาสนานี้ไม่สูญเปล่า

ถ้าแรงงานของเรา แรงงานทางโลก แรงงานของพระแรงงานทางใจ แล้วเราทำขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรา ให้เป็นประโยชน์กับเรา ให้สมกับความเกิดมาเป็นมนุษย์ สัตว์ประเสริฐ สัตว์ประเสริฐมีสติมีปัญญา แยกแยะเอาสิ่งใดดี-สิ่งใดชั่ว ปฏิบัติเอาสิ่งใดถูก-สิ่งใดผิด สัตว์ประเสริฐต้องทำความประเสริฐของใจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด” เอวัง